เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะคือชีวิตนะ ชีวิตเราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาในวัฏฏะ การดำรงชีวิตของเรานะ ดูสิเวลาป่าเขา ป่านี่เป็นห้างสรรพสินค้า เป็นซุปเปอร์มาเก็ตที่เราแสวงหาจากมัน สิ่งที่ในป่ามันมีพืชสมุนไพร มีทั้งยา มีทั้งอาหาร มีทุกอย่างพร้อมเลย วัฏฏะก็เหมือนกัน วัฏฏะเวลาเกิดมามีทั้งดีและชั่ว ชีวิตที่เกิดมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเอาความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นโลกๆ นี่แหละปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ไหน? เป็นที่ในหัวใจไง ถ้าในหัวใจชำระกิเลส ชำระกิเลสคือความไม่รู้ อวิชชา ในหัวใจเรามีความไม่รู้ เราเกิดมาในวัฏฏะ สิ่งดำรงชีวิตนี่แหละ แต่เราไม่รู้ว่าชีวิตนี้มาจากไหน เกิดมาทำไม แล้วอยู่ไปทำไม แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่เวลาชำระอวิชชา เกิดมาจากไหน? เราเคยเกิดเป็นพระเวสสันดร ทศชาติ ๑๐ ชาติ เคยเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณไปไม่มีที่สิ้นสุด ปัจจุบันนี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาตรัสรู้ขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไปอนาคตไง

แต่ของเรานี่เรายังไปอนาคต เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ เวลาป่าเขานะ เวลาป่า เวลาให้ผลประโยชน์กับชีวิต ให้ทั้งยา ให้ทั้งอาหาร ให้ทุกๆ อย่างนะ เวลามันเกิดไฟป่า มันแผดเผา มันทำลายนะ สัตว์ตายอยู่ในกลางไฟนั้น สัตว์บางตัวโดนเผาลนจนอวัยวะพิการไป สัตว์บางตัวมันโดนเผาลนแต่เล็กแต่น้อย แล้วมันพยายามแก้ไขมัน พยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด

เราเกิดมาในวัฏฏะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรามันเผาลนหัวใจ เห็นไหม ถ้ามันเผาลนหัวใจนะ คนที่ไม่สนใจในศาสนา ไม่สนใจในสัจธรรม มันเผาลนจนทั้งชีวิต มันเผาลนจนสิ้นชีวิต เผาลนไป พอตายไปแล้วยังไม่รู้ว่ามันตาย มันเกิดมาทำไม แล้วตายอย่างใดแต่ถ้าคนเรานะมันมีสติ มีปัญญาศึกษา เห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้เกิดมาอย่างไร? เกิดมาจากพ่อจากแม่ แต่ในธรรมนี่เกิดมาจากบุญจากกรรม ถ้าเรามีการกระทำ มีความดี เราเกิดมาจากพ่อจากแม่นี่สายบุญสายกรรม

สายบุญสายกรรมนะ มีหูมีตา เห็นไหม มีหูมีตาหมายถึงว่าเครื่องหมายของคนดี คือความกตัญญูกตเวที แม้แต่พ่อแม่ของเราให้ชีวิตนี้มา เรากตัญญูกตเวที ชีวิตที่ได้มา ได้มาทุกข์ๆ ร้อนๆ นี่แหละ ได้มาทุกข์ๆ ยากๆ นี่แหละ แต่สิ่งที่ได้มาเราว่าทุกข์ๆ ยากๆ นะ แต่ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดนรก อเวจี เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมันเกิดขนาดไหน เพราะจิตนี้มันต้องเกิดธรรมชาติของมัน สัจจะอันนี้เป็นสัจจะอันนี้ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงมันเป็นแบบนี้

ความจริงมันเป็นแบบนี้ เราจะปฏิเสธหรือจะยอมรับมันก็เป็นแบบนี้ แต่เป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้แล้วถ้ามีสติ มีปัญญา เห็นไหม นี่กตัญญูกตเวที เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ดูแลพ่อแม่ ให้พ่อแม่มีความสุข ให้พ่อแม่มีความพอใจในอัตภาพ ในอัตภาพนะ แต่ถ้าเราจะเอาความจริงของเราล่ะ? ถ้าเราเลี้ยงดูพ่อแม่ นี่พระยาสามที่ว่าหาบพ่อหาบแม่ หาบพ่อหาบแม่ไว้ข้างหนึ่ง เอาพ่อแม่ไว้บนไหล่ซ้ายและไหล่ขวานะ ให้อุจจาระรดบนไหล่ นี่ดูแลรักษา ยังไม่เท่าบุญคุณอันนั้นเลย

แต่ถ้าเวลาเปิดตาพ่อแม่ได้นะ เปิดตาพ่อแม่ เห็นไหม จากที่ว่าไม่สนใจ ไม่ใส่ใจสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ที่เป็นสมบัติของเขา ของท่านเอง แต่ท่านฝืน ท่านไม่ยอมรับ ถ้าเราอธิบาย เราชักนำ ทำสิ่งนี้มา เพราะ เพราะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ก็เลี้ยงชาตินี้ บุญกุศลมันเลี้ยงข้ามภพข้ามชาติ ถ้าทำคุณงามความดีชาตินี้ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม มันส่งไปนู่น เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ข้ามภพข้ามชาติ ไม่ใช่เลี้ยงชาตินี้ แต่ชาตินี้ถ้ามีความกตัญญูกตเวทีมันก็มีผลบุญพอสมควรอยู่แล้ว ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา

ถ้าสัตว์มันเห็นไฟป่า มันพยายามหาทางรอดของมัน ถ้ามันหาทางรอดของมันนะ ถ้าไฟมันโหมรุนแรง มันไม่มีทางไปมันก็ต้องจำนนกับชีวิตของมันนะ มันโดนไฟเผามันตายไป ตายไปพร้อมกับความเร่าร้อน นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นชีวิตของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา ใช่ หน้าที่การงานของเรา เรื่องโลกมันก็เหมือนไฟนั่นแหละ มันแผดเผากัน แต่การแผดเผา เห็นไหม การแผดเผาไฟนั้นแผดเผาอาหารให้สุกก็ได้ ไฟเอามาทำเป็นอุตสาหกรรม ทำต่างๆ ก็ได้ ไฟทำลายชีวิตเราก็ได้

เขาบอกความอยากเป็นกิเลส ความอยากเป็นกิเลส แล้วอยากพ้นทุกข์เป็นกิเลสไหม? อยากทำคุณงามความดีเป็นกิเลสไหม? เวลางานของเรา ทำคุณงามความดีของเราอย่างนี้เป็นกิเลส แต่เวลามันแถนะ มันออกนอกเรื่องนอกราวนะ มันบอกว่านั่นเป็นสมบัติของมัน แต่ถ้าทำคุณงามความดีเป็นกิเลสๆ นั่นแหละ มรรค การกระทำ นี่ฉันทะความพอใจ ถ้ามีความพอใจนะ สิ่งที่ความพอใจ แต่ถ้ามันมีสัมมาทิฏฐิใช่ไหม? สัมมาทิฏฐิพอใจในสิ่งใด? ถ้าพอใจทำสิ่งใดทำเพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา

ประโยชน์กับชีวิตของเรานะ ประโยชน์กับชีวิตของเรา เห็นไหม เราแสวงหาเพื่อเรามันเป็นของของเรา แต่ถ้าเราสละออกไป สละออกไปเป็นผลของสังคม สังคมได้ความสุขความสบายไปจากสมบัติของเรา สิ่งนั้น สิ่งนั้นเขาได้ขึ้นมา นั่นแหละบุญมันเกิดตรงนั้น ตรงนั้นเพราะเหตุใด? ตรงนั้นเพราะดูสิความทุกข์ แล้วมีคนมาจุนเจือความทุกข์อันนั้น เขาจะซาบซึ้งใจของใคร? ในสมัยพุทธกาลนะ ก่อนหน้าพุทธกาลเวลาเขาเชื่อกัน เชื่อผี เชื่อสาง เชื่อเทวดา เชื่ออินทร์ เชื่อพรหม เชื่อไฟ เชื่อภูเขา เขากราบไหว้บูชากัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนะ แต่เดิมคนยังโง่อยู่ กราบภูเขา กราบไฟ กราบพระจันทร์ กราบต่างๆ เดี๋ยวนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะ เวลาคนเสียใจ คนตายไป อย่าคร่ำครวญ อย่าคร่ำครวญ อย่าพิรี้พิไร สิ่งนี้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ให้ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่กัน คุณงามความดี เห็นไหม นี่เราเสียสละ เราเสียสละแล้วคนมีความสุขจากที่เราเห็น ยิ้มแย้มแจ่มใสจากที่เราให้มันเป็นอะไรเนี่ย?

แล้วความยิ้มแย้มแจ่มใสอันนี้ จิตดวงนี้ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ความรู้สึกอันนี้มันย้อนถึงความรู้สึกที่ตายไปได้ วิญญาณออกจากร่างไปมีความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้นแหละ มันไม่มีสูญ ไม่มีการทำลาย ฉะนั้น เวลาถึงที่สุดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม นี่เวลาชำระกิเลสแล้ว เห็นไหม นิพพานคงที่ๆ คงที่เพราะมันมีอยู่ไง สิ่งที่ธรรมธาตุๆ สิ่งที่เป็นธาตุรู้ๆ ธาตุรู้มันมีกิเลสอวิชชาไง พอเป็นธาตุที่เป็นธรรม ธาตุที่มีชีวิต ธาตุที่รับรู้ได้มันมีของมันอยู่

ฉะนั้น จากความรู้สึกนึกคิดอันนี้ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง นี่บุญกุศลอันนี้เราอุทิศส่วนกุศลนั้นไป นี้เราอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นไง แล้วเราล่ะ? ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน เรากั้นเขื่อนไว้ เราสะสมน้ำนั้นไว้ สะสมน้ำไว้เพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์ทำสิ่งใดล่ะ? ถ้าสะสมน้ำนั้นไว้ ถ้าสะสมน้ำไว้จนเน่าเสียไปแล้วเป็นสิ่งใดล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราทำบุญกุศลมากขนาดไหน ถ้าเราจะชำระกิเลสของเรา ทรัพย์อย่างนั้นมันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิส นี่มันส่งเสริมให้เราเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดนรกอเวจี นี่เกิดแน่นอน ใครจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธ นั้นเรื่องของการปฏิเสธ ข้อเท็จจริงมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ทีนี้ข้อเท็จจริงเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วถ้าเกิดดีเกิดชั่วเกิดที่ไหนล่ะ? เกิดดีเกิดชั่วเกิดที่กรรมนี่ไง

เราว่าเราเกิดจากพ่อจากแม่ โอปปาติกะมันไม่มีพ่อไม่มีแม่นะ โอปปาติกะเกิดจากกรรม ทีนี้เวลาเกิดเป็นมนุษย์มันต้องมีพ่อมีแม่ มีสายบุญสายกรรม ฉะนั้น เวลาบุญพาเกิดล่ะ? ฉะนั้น ถ้าบุญพาเกิดนี้เป็นอามิสใช่ไหม? อามิสเป็นผลของวัฏฏะ แล้วเราจะพ้นออกไปจากวัฏฏะล่ะ? เราจะพ้นออกจากวัฏฏะมันต้องมีเหตุมีผลสิ พ้นออกจากวัฏฏะนะ ถ้ามันมีเชื้อขับไสอยู่มันเวียนไปในวัฏฏะ ดีขนาดไหนมันก็เกิดดี เกิดดีก็อายุขัยหนึ่ง เกิดจะดีจะชั่วอย่างใด ชีวิตหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันมีของมันเป็นสัจธรรมอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาอย่างนี้ เห็นไหม ฉะนั้น ถ้าเราจะให้เป็นอนัตตาในปัจจุบันนี้ล่ะ? ให้เป็นอนัตตาที่เห็นคาหัวใจนี่ล่ะ? ถ้าหัวใจนี้อวิชชามันไม่รู้ของมัน นี่สิ่งที่มันไม่รู้เพราะมันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นใช่ไหม? เราทำความสงบของใจ เรามาภาวนากัน สร้างบุญกุศลกั้นเขื่อนไว้น้ำเต็มนะ เต็มเขื่อนเลย แต่เราใช้ประโยชน์มันไม่เป็นมันก็อยู่แค่นั้นแหละ

ถ้าเราใช้ประโยชน์มันเป็น เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามากั้นไว้ พุทโธ พุทโธกั้นหัวใจไว้ให้เป็นเอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น คนเราทำงาน เราจะทำงานเราต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานถึงจะทำงานได้ใช่ไหม? นี่ใจที่มันทำงานทำอะไร? ทำงานที่มันทำอยู่นี้มันเหมือน นี่ดูสิแม่น้ำมันไหลไปตามธรรมชาติของมัน ความรู้สึกนึกคิด จิตมันรู้สึกนึกคิด มันไหลธรรมชาติของมันตลอดเวลา มันไหลไปธรรมชาติของมัน เกิดดับๆ ก็เกิดดับ มันก็เกิดดับธรรมชาติของมัน แล้วเกิดดับใครรู้ล่ะ? เกิดดับใครเป็นเจ้าของล่ะ? เกิดดับใครเป็นคนเห็นล่ะ

ที่เกิดดับอยู่นี้เพราะผลบุญไง เราเกิดเป็นมนุษย์ไง มันถึงมีความคิด ความรู้สึกนึกคิดเกิดดับอยู่นี่ไง แล้วความรู้สึกนึกคิดเกิดดับอยู่นี่ นี่ผลอริยทรัพย์ที่มันจะมากกว่านี้มันจะทำอย่างไร? ถ้าเราพุทโธ พุทโธกั้นเขื่อนนั้นไว้ กั้นเขื่อนนั้นไว้ ถ้ามันมีกำลังของมัน น้ำมันสะสมตัวจนมันเป็นประโยชน์ได้ ทำนาก็ได้ ทำไร่ก็ได้ จะเอาไปใช้อุตสาหกรรมสิ่งใดก็ได้

จิตใจถ้ามันมีสัมมาสมาธิ มันมีสัมมาสมาธิมันไม่ตกอยู่ใต้กฎของอวิชชา มันไม่ได้ตกอยู่ใต้ความไม่รู้ไง พุทโธ พุทโธนี่มันรู้ไง เพราะสัมมาสมาธิมันก็รู้ของมัน นี่แจ่มชัดของมัน มันรู้ตัวของมัน นี่สัมมาสมาธิถ้าเราทำดีของเราได้ ถ้ามันไปเกิดปีติ เห็นไหม รู้วาระจิตก็ได้ รู้สิ่งใดก็ได้ รู้อย่างนี้มันเป็นรู้ของพลังงาน รู้ของพลังงานของจิต จิตมันสร้างสมมาอย่างไรมันก็เป็นแบบนั้น แต่ถ้าเป็นมรรคล่ะ? มรรคไม่เป็นแบบนั้น มรรคทำความสงบของใจเข้ามา มันต้องทวนกระแสกลับไปที่ตัวมัน

ถ้าทวนกระแสกลับที่ตัวมัน เห็นไหม ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นตามความเป็นจริง นี้เป็นวิปัสสนา แต่ความรู้สึกนึกคิดของเรา เราคาดกาย คาดเวทนา คาดจิต คาดธรรมโดยสามัญสำนึก สามัญสำนึก นี่ไงที่ว่าเป็นมนุษย์ๆ ที่ว่าแม่น้ำมันไหลไปตามน้ำ แม่น้ำไหลลงทะเลไปมันเป็นประโยชน์อะไร? มันก็เป็นประโยชน์กับโลกไง ประโยชน์ที่แม่น้ำนั้นผ่านไป ให้มันมีความชุ่มชื่น ให้มันมีชีวิตต่างๆ มันก็เป็นเรื่องโลกไง

นี่ธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น นี่แล้วเราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมโดยการคาด การหมายไง มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ถ้าจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม โดยสัจจะ โดยความเป็นจริง มันสะเทือนหัวใจนะ มันสะเทือนหัวใจตัวที่ทุกข์ตัวที่ยากอยู่นี่ ตัวที่ผลของวัฏฏะเวียนตายเวียนเกิดอยู่นี่ ถ้าเวียนตายเวียนเกิด พอมันสะเทือนหัวใจ มันพิจารณาของมัน แยกแยะของมัน นี่ปัญญาอย่างนั้นมันเกิดขึ้น

ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา มันแยกแยะขึ้นมา ถ้ามันชำระล้างขึ้นมา เวลามันขาด เห็นไหม เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นถึงสิ้นกิเลสไป นี่จิตนี้ไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้ เหมือนสัตว์ที่มันเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในป่านั้น เวียนตายเวียนเกิดในป่านั้น มันได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่านั้นเป็นอาหารของมัน เป็นยารักษาตัวมัน แล้วเวลาเกิดไฟป่า เกิดต่างๆ เวลาเกิดน้ำท่วมต่างๆ มันต้องตายไปกับสิ่งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาในสังคม เกิดมาในวัฏฏะ เกิดโดยผลอย่างนั้น เราก็มีชีวิตนี้เหมือนกัน ถ้าเรามีสติ มีปัญญา เห็นไหม ชีวิตที่เกิดมา นี่ถ้าพูดตามเป็นจริงมันก็เกิดตามธรรมชาติ เพราะสัจจะเป็นอย่างนั้น เกิดตามธรรมชาตินั่นแหละ แต่ธรรมชาตินั้นมันมีเวรมีกรรมไง มันถึงเกิดสูงเกิดต่ำ แต่ถ้าเรามีอริยสัจล่ะ? เราจะทำให้มันไม่เกิดตามธรรมชาตินั้น ให้มันไม่เกิด ให้มันคงที่ของมัน แล้วคงที่ของมันอย่างนั้นล่ะ? คงที่ของมัน เห็นไหม

นี่ธรรม ฟังธรรมก็ฟังเรื่องของเราเอง เพราะสิ่งที่พูดนี้มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิดในใจ ถ้าความรู้สึกนึกคิดในใจ เราก็ใช้ความรู้สึกนึกคิดบริหารจัดการในอาชีพของเรา อันนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆ เพื่อหาสมบัติมาเพื่อความมั่นคง เพื่อสมบัติสาธารณะ เพราะถ้าเราสิ้นชีวิตไปก็ต้องให้ลูก ให้หลานมันไปเป็นสมบัติสาธารณะ ถ้าใครไม่มีลูกไม่มีหลานก็ตกเป็นของรัฐ นี่ไงมันเป็นของสาธารณะ แต่ไอ้เวรกรรมที่มันตามจิตไปไม่มีใครเห็น แต่จิตดวงนั้นเห็น จิตดวงนั้นรู้ เพราะไปเกิดสถานะไหนมันก็รู้ตามที่มันรู้นั่นแหละ

ฉะนั้น ถ้ามันพิจารณาของมัน มันแก้ไขของมัน เห็นไหม นี่ปัญญาที่มันเกิดอย่างนี้ สิ่งที่เรารู้ๆ นี่แหละ สิ่งที่เรื่องชีวิตของเรานี่แหละ แต่อวิชชามันถึงไม่รู้ว่าเราเกิดตามเวรตามกรรม ก็รู้เฉพาะนั้นๆ ก็เหมือนกับปัจจุบันที่รู้เฉพาะเรา แต่มาจากไหนล่ะ? แล้วจะไปอย่างไรล่ะ? แล้วจะดับอย่างไรล่ะ? แต่ถ้าภาวนาไปนะ นี่ความมหัศจรรย์ที่รู้นะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในตู้พระไตรปิฎกนั้นเป็นกิริยา เป็นอาการที่จิตนั้นเป็น ที่พระพุทธเจ้าสอนสาวก สาวกะ นี่เราก็ศึกษาตามหนังสือนั้น แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ใจที่มันเป็น

ใจที่มันเป็น เห็นไหม ใบไม้ในกำมือคือเรื่องของเรา เรื่องความรู้สึกนึกคิดของเรา มรรคเกิดจากเรา เรื่องอวิชชาความไม่รู้ก็เกิดจากเรา แล้วเราแก้ไขไม้ในกำมือของเรา ไม้ในป่า ใบไม้ในป่าทั่วไปหมด นี่สัจจะความจริงมันเป็นแบบนั้น แต่เราเอาความจริงใบไม้ในกำมือ ความรู้สึกนึกคิดของเรา ความที่มันพาเราทุกข์เรายากอยู่นี่ แก้ไขที่นี่ พอแก้ไขที่นี่แล้ว พอมันรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม ร่มโพธิ์ร่มไทร

ถ้าใครไม่รู้จริงจะเอาสิ่งใดมาอธิบาย เวลามันเกิดขึ้นมาในใจมันลึกลับซับซ้อนกว่าในวิชาการ กว่าในตำราเยอะนัก แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา คนจริงนั่นแหละจะรู้จริงหมดแหละ อ้าปากก็รู้แล้วว่ามันไปถึงไหน นี่มันเป็นอย่างใด เพราะ เพราะเส้นทางที่จิตเคยเดิน มัคโคทางอันเอก ถ้าใครไม่เคยเดินเส้นทางนี้ แต่รู้ทางวิชาการไว้มาก วิชาการก็คือวิชาการ แต่ไม่เห็นเส้นทางความเป็นจริงของตัว ไม่เห็นหัวใจของตัว ไม่มีความรับรู้ นี่รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสอันนี้มันจะเกิดขึ้น มันจะเป็นความจริงในใจนี้ ถ้าพิสูจน์ที่นี่

นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เราปฏิบัติให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา แล้วเราจะเข้าใจชีวิตนี้ ไม่ให้กิเลสมันเผาลนไง ดูสิเวลาไฟป่ามันเกิดขึ้นนะ เวลาสัตว์มันโดนเผาตาย เห็นไหม นี่ดำเป็นตอตะโก สัตว์ตัวไหนที่มันเจ็บ มันบาดเจ็บสาหัส บาดเจ็บเล็กน้อย ดูแล้วมันสังเวช มันมองตากันได้แต่ความเศร้าใจนะ แต่ถ้าชีวิตเราเปรียบเทียบว่าเป็นแบบนั้น จิตใจเราเป็นแบบนั้น เทียบมาเป็นสมบัติของตัว เทียบมาเพื่อให้หัวใจมันหยุด อย่าให้มันเร่าร้อนนัก ถ้ามันเร่าร้อนนะ คิดถึงมรณานุสติเราต้องตายลงทุกอย่างเบาได้ แต่ถ้าเรามาคิดอย่างนี้นะ มันจะเอาสิ่งนั้นขวนขวายมาทับถมหัวใจ มันเผาลนเรานะ

ไฟมันเผาสิ่งที่เป็นวัตถุ กิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นนามธรรมเหมือนกัน กิเลสก็เป็นนามธรรม มันถึงอยู่บนหัวใจของเรา แล้วมันก็เผาลนใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา ทำสิ่งนี้ให้เบาลงๆ จนถึงเราจะพ้นจากมันได้ เอวัง